Change
เนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับคน4คนที่ไปงานสัปดาห์หนังสือในอนาคต เป็นเรื่องสั้นที่แต่งขึ้นเป็นเรื่องที่สอง เพื่อฝึกฝีมือก่อนแต่งเรื่องยาว(เรื่องยาวก่อนหน้านี้กำลังตันอยู่) ติชมได้ตามสะดวกครับ
ผู้เข้าชมรวม
42
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
Changeเป็นเรื่องราวของบุคคลสี่คนที่ไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือ แต่เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในอนาคตแทน สถานการณ์จะแตกต่างจากเดิมอย่างไร พวกเขามีแนวคิดอย่างไรต่องานสัปดาห์หนังสือครั้งนี้ ไปหาคำตอบกันได้ในเนื้อเรื่องเลยครับ
(ที่มาของเนื้อเรื่องเกิดจากกระทู้นี้: http://www.dek-d.com/writer/36818/)
เรื่องสั้นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเป็นเรื่องที่สอง เพื่อฝึกฝีมือก่อนกลับไปแต่งเรื่องยาวอีกครั้ง(เรื่องยาวก่อนหน้านี้กำลังตันอยู่)
หากผู้อ่านทั้งหลายทิ้งคำติชมไว้ด้านล่าง จะเป็นเรื่องดีมากครับ ผมจะนำไปปรับปรุงกับการแต่งเรื่องอื่นๆต่อไป
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ท่ามกลางห้องโถงอันกว้างใหญ่ มีบูธหลากขนาดจากสำนักพิมพ์ต่างๆตั้งอยู่เรียงราย ทางเดินถูกแยกออกด้วยพื้นที่ที่แต่ละสำนักพิมพ์จับจอง ผู้คนเดินไปทั่วจนทำให้ห้องนี้แคบลงถนัดตา บ้างหยุดตามแต่ละบูธพลางเลือกดูหนังสือตามแนวที่ตนสนใจ บ้างหอบถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่เต็มไปหนังสือนับสิบๆเล่มเดินเก้งก้างไปมา
ณ ใจกลางห้อง มีชายหญิงอายุย่างเข้าวัยรุ่นคู่หนึ่งกำลังยืนมองไปรอบๆ เนื่องจากความสูงของลำตัวที่น้อยกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป ทั้งสองจึงพยายามเขย่งตัว แล้วกวาดสายตาระหว่างผู้คนที่เดินไปมา
“อยู่ไหนกันแน่นะ” เด็กหญิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เอซ ด้านเธอเป็นยังไงบ้าง”
เด็กชายที่ถูกเรียกว่า เอซ ใช้นิ้วดันแว่นตาขึ้น แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ไม่เจอแม้แต่เศษเสี้ยวเลย”
“ไปหาที่อื่นกันเถอะ” เด็กหญิงพูดจบก็ดึงเสื้อเด็กชายให้เดินตามเธอไป
ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางที่มีผู้คนบางตา ทางเส้นนี้ก็ขนาบไปด้วยบูธหนังสือเช่นเดียวกับจุดอื่น ด้านซ้ายเป็นของสำนักพิมพ์เล็กๆที่มีหนังสือนวนิยายอยู่บนชั้นวางเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ข้างขวาเป็นหนังสือวิชาการที่เน้นระดับมัธยมปลายเป็นพิเศษ
“เลิกดึงได้แล้ว วิ ผมเดินเองได้น่า” เอซพูดจาโอดครวญในสภาพกึ่งเดินกึ่งถูกลาก
วิปล่อยมือจากแขนเสื้อเอซแล้วหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเขา แขนสองข้างกอดอก “เคารพกันซะบ้างสิ ชั้นน่ะเป็นพี่นายนะ”
“ทั้งที่เกิดห่างกันแค่ปีเดียวแท้ๆ…” เขาบ่นพึมพำออกมาและหันหน้าไปทางอื่น หลบดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่กำลังจดจ้องมาทางเขา ไม่รู้ว่าวิได้ยินคำพูดเมื่อครู่หรือว่าเอซทำเป็นไม่ใส่ใจกับคำพูดของเธอกันแน่ ทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเล็กน้อย ก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วก้าวเท้าออกไป เอซไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามเธอไป
“เรื่องนั่นช่างมันก่อน ตอนนี้มาช่วยกันหาคุณลุงหน่อย ตาดีๆแบบเธอคงช่วยได้มากเลยล่ะ”
“พี่วิพูดอย่างกับคุณลุงเป็นคนผิด คนที่เป็นเด็กหลงน่ะคือพวกเราต่างหาก” เอซเดินขึ้นมาขนาบข้างเด็กสาว “นอกจากนั้นต้นเหตุก็คือพี่นั่นแหละ”
เธอหันหน้าไปยังเขาอย่างรวดเร็ว พลันส่งสายตาดุ ทำสีหน้าราวกับจะพูดว่า ‘นี่นายคิดจะหาเรื่องกันใช่ไหม’
“มันไม่จริงหรือไงเล่า พอพี่มาถึง ก็วิ่งออกไปเลย ผมกับปลาเลยตามมาจนพลัดกับคุณลุง” เอซหวั่นไหวเล็กน้อยที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนั้น แต่เขาก็รวบรวมความกล้าที่เหลือและพูดออกไป “แล้วยังต้องมาฟังพี่พรรณนาถึงกลิ่นอะไรนั่น อันนู้นเชอร์เบท อันนี้วานิลาบ้างล่ะ เล่นซะผมเอียนเลย”
สีหน้าเด็กสาวเปลี่ยนจากสีขาวนวลเป็นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเธอโกรธ แต่เป็นเพราะความเขินอายที่ได้ยินประโยคหลัง
ความจริงแล้ว วิเป็นเด็กสาวที่แตกต่างจากคนทั่วไปๆ เธอมีความสามารถพิเศษในการรับประสาทสัมผัสด้านกลิ่นจากหนังสือได้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน นิตยสารวิทยาศาสตร์ นิตยสารผู้หญิง วารสารประเภทต่างๆ การ์ตูน นิยายและงานเขียนประเภทอื่นๆที่ตีพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม เธอสามารถบอกลักษณะเนื้อหาภายในได้จากการดมกลิ่นโดยไม่ต้องเปิดอ่านเนื้อหาด้านในหรือคำโปรยหลังปกแม้แต่ตัวอักษรเดียว
“มันช่วยไม่ได้นี่นา เธอก็รู้ว่าฉันตั้งตารองานนี้มากนานแล้ว อีกอย่างเรื่องกลิ่นนั่น ชั้นเคยพูดผิดซะที่ไหนล่ะ ไม่เชื่อลองหยิบเล่มนั่นมา” พูดจบเธอก็ชี้ไปที่หนังสือออกใหม่ของนักเขียนนวนิยายชื่อดังจากต่างประเทศ เป็นหนังสือแปลที่มีลวดลายปกสะดุดตา ดูจากความหนาประมาณห้าร้อยหน้ากระดาษ
“กลิ่นหอมหวานเหมือนกับน้ำหอมราคาแพง แต่กลับปนไปด้วยความขมของกาแฟนิดๆ ชั้นว่าจะต้องมีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักหวานชื่น แต่กลับมีอุปสรรคใหญ่มาขวางกั้นแน่ๆ” น้ำเสียงเธอแสดงถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เอซหยิบหนังสือเล่มดังกล่าวมาเปิดอ่าน แว่นสายตาไม่ได้ทำให้เขาอ่านช้าลงแม้แต่น้อย กลับกันความสามารถในการมองภาพรวม การเก็บข้อมูล ความจำและทักษะในวิเคราะห์อันยอดเยี่ยมทำให้เขาเก็บรายละเอียดคร่าวๆได้ภายในเวลา 2 นาทีเท่านั้น
แม้เขาจะกังขากับชื่อเรื่องที่พิมพ์หราอยู่บนปก รวมไปถึงภาพประกอบที่บ่งบอกว่าเป็นแนวแอ็คชั่นแฟนตาซี แต่กลับมีเรื่องราวรักใคร่เป็นตัวชูโรงในเรื่องและอุปสรรคของความรักที่แฝงเอาไว้ดังคำบอกของวิ เอซจึงได้แต่พยักหน้ารับว่า สิ่งที่เธอพูดมานั้นถูกต้องแล้ว
เขาวางหนังสือลงที่ตำแหน่งเดิม แล้วเอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง พลางกวาดสายตาไปรอบๆ “จะว่าไปแทนที่จะมาหาตัวคุณลุงหรือหาหนังสืออ่าน น่าจะมามองสาวแถวนี้ดีกว่า มีคนสวยๆกว่าใครบางคนอีกเยอะ”
ทันทีที่พูดจบ ฝ่ามือของเด็กหญิงปะทะเข้ากับหลังหัวเอซอย่างจัง ทำเอาแว่นตาเขาเกือบหล่นลงไปกับพื้น
“โอ๊ย เจ็บ เจ็บ”
“น่าขยะแขยง” เธอไม่แยแสต่ออาการเจ็บปวดของเขา ใช้มือปัดผมดำยาวปรกบ่าให้ตกลงไป แล้วเมินหน้าไปทางอื่นราวกับว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
ตึก ตึก ตึก
อีกด้านหนึ่งเด็กผู้หญิงผมสั้นในชุดลำลองวิ่งฝ่าฝูงชนมาอย่างรวดเร็ว ท่าทีดูรีบร้อน เธอก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างจนกระทั่งเห็นเอซกับวิ สีหน้าของเธอผ่อนคลายลง เธอชะลอความเร็วลงและหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน
“ว่าไงปลา เธอเจอคุณลุงไหม” เอซดันแว่นตาตัวเองกลับเข้าที่ เก็บเรื่องบาดหมางกับวิไว้คิดบัญชีทีหลัง แล้วยิงคำถามใส่เด็กสาวผู้มาใหม่
หลังจากหอบหายใจสักพักหนึ่ง เธอสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะจ้องไปที่เด็กชาย “ไม่มีวี่แววในโซนAกับBเลยล่ะ พี่วิ พี่เอซ”
“งั้นเรามาช่วยกันหาในโซนนี้ละกัน ถ้าเป็นเธอคงจะช่วยเราได้เยอะ”
“อืม หนูขอเวลาแป๊ปนึงนะ” ปลาหลับตาลงช้าๆ วิและเอซไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่ยืนรออยู่เฉยๆเท่านั้น สักพักหนึ่งทั้งสองคนก็รู้สึกหนาววูบขึ้นมาราวกับถูกน้ำเย็นยะเยือกโอบล้อมไว้รอบตัว พวกเขาจ้องไปที่ปลาพร้อมกันราวกับนัดไว้ บรรยากาศรอบตัวของเธอดูแปลกไปจากเดิม ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก แต่สัญชาตญาณของพวกเขามันบอกอย่างนั้น
“รัศมี 100 เมตร จำนวนคน 752 คน...” เธอเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา
“คิดว่าน่าจะพอล่ะนะ เอาล่ะ ตามหนูมาเลย” ปลาพูดจบก็ลืมตาขึ้น แล้วเดินนำออกไป
“เจอคุณลุงแล้วใช่ไหม” วิถามด้วยความตื่นเต้น
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ” ปลาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “การหาตัวคนคนเดียวในจำนวนคนมากขนาดนั้นคงต้องใช้เวลามากพอสมควร แต่ว่ามีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้นที่ดูเจือจางเอามากๆ”
เด็กหญิงหยุดถึงตรงนี้ ก่อนที่จะพูดต่อ “...เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับพลังของคุณลุงน่ะค่ะ”
ทั้งสามคนไม่พูดอะไรต่อ เดินผ่านทางเส้นแล้วเส้นเล่า รวมถึงฝ่าทะเลคนที่ลุมแย่งกันซื้อหนังสือการ์ตูนออกมา ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขาคือ ชายร่างผอม สูงประมาณ 180 ผมสีขาวยาวลงมาถึงบ่า สวมเสื้อนอกสีน้ำตาลเข้มยาวลงมาถึงเข่า เสื้อในสีดำสนิทกับกางเกงขายาวสีครีมดูไม่เข้ากับรองเท้าบู้ตสีน้ำตาลหนาๆเลยซักนิด เขาหันซ้ายหันขวาเป็นการใหญ่ราวกับกำลังตามใครบางคนอยู่
“ลุงแดง!” วิตะโกนขึ้นมาด้วยความดีใจแล้ววิ่งเข้าหา ทันทีที่เขาหันมา เด็กสาวก็กระโจนเข้าไปกอดลำตัว เอซกับปลาตามมาอย่างไม่รีบร้อน
“นึกว่าใครที่แท้ก็วินี่เอง อ๊ะ เอซกับปลาก็อยู่ด้วย” ลุงแดงมองเด็กๆทั้งสามคนด้วยแววตาอ่อนโยน “ตอนแรกลุงกะว่าจะไปแจ้งเรื่องเด็กหายซะแล้ว แต่ดันหาจุดนั่นไม่เจอซะนี่ ฮ่ะฮ่ะ”
“โธ่ คุณลุงดันหลงซะเอง” เด็กสาวหัวเราะออกมาพลันกอดลุงแดงอย่างแนบแน่นกว่าเดิมราวกับจะไม่ปล่อยเขาไปไหนอีก
“ถ้าอย่างนั้นเราไป...” ลุงแดงหยุดกึกทันทีที่เขาสบตากับเด็กชาย แล้วเอ่ยถาม “เอซมีอะไรอยากถามหรือเปล่า”
เอซตกใจเล็กน้อยที่ถูกคุณลุงอ่านใจออก แต่เขาก็รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ “คือผมสงสัยอย่างนึงน่ะครับ สามปีที่ผ่านมานี้รู้สึกว่าคนลดลงไปเอาการอยู่”
ลุงแดงเงยหน้าขึ้น แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนที่จะยกมือจับคาง สีหน้าครุ่นคิด
“อืม…” เขาครางในลำคอเล็กน้อย แล้วเริ่มร่ายยาว “ลุงว่าที่เป็นแบบนี้น่าจะเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นแบบก้าวกระโดด เดี๋ยวนี้การซื้อขายออนไลน์เป็นสิ่งที่สะดวกและรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่คลิกก็เรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกมาดูหนังสือตามร้านอีก นอกจากนั้นมีอีกหลายอย่างที่เข้ามาแทนที่หนังสือพวกนี้ อย่างแรกคือการอ่านแบบไฟล์pdf ต่อมาก็คือ DosBook(Digital Object Simulation Book) พวกเธอรู้จักมันดีใช่ไหม แค่เปิดไฟล์หนังสือDosBook ฮาร์ดแวร์เฉพาะของมันก็จะเริ่มทำงาน แล้วอุปกรณ์ก็จะเริ่มจำลองข้อมูลตัวอักษรในออกมาเป็นรูปแบบสิ่งของที่จับต้องได้ พลิกอ่านได้เหมือนหนังสือทั่วไป แถมไม่จำเป็นต้องหาที่เก็บหนังสืออีก แค่ปิดไฟล์ไป หนังสือก็จะค่อยๆหายไปราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้น ลุงว่าของพวกนี้ล่ะที่ทำให้คนออกมาซื้อหนังสือในงานโดยตรงน้อยลง”
ลุงแดงพูดจาฉะฉาน คล่องแคล่ว ดูภายนอกแล้วเขาไม่เหมือนกับคนที่อายุย่างเข้าเจ็ดสิบกว่าเลยสักนิด ความคิดความอ่านก็ยังคงยอดเยี่ยมอย่างที่เขาเป็น รายละเอียดที่พูดออกมาเป็นจริงทุกตัวอักษรราวกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
เด็กทั้งสามคนมีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป ปลามีสีหน้านิ่งเฉย แววตาอ่านไม่ออกว่ารู้สึกอะไรกันแน่
เอซพยักหน้าเล็กน้อย แต่มีเหลื่อไหลออกมาจากใบหน้ามากกว่าปกติ
ที่หนักสุดคงเป็นวิที่ยังคงงุนงงกับคำตอบที่ได้รับ เหมือนกับมีเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเริ่มอยู่บนใบหน้าของเธอ
“ฮ่าฮ่า ที่ลุงพูดคงยากไปสินะ” ลุงแดงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อคุยไปเป็นเรื่องอื่นแทน “เอาเป็นว่าใครอยากไปดูหนังสือบูธไหนกันบ้าง”
“หนู หนู” วิยกมือขึ้นมาเหนือหัว “มีที่นึงที่ผ่านมาเมื่อกี้ มีเรื่องที่น่าสนใจเยอะเลยล่ะ”
“ถ้างั้นเราเริ่มจากที่นั่นก่อนล่ะกัน” เขายิ้มบางๆ ก่อนที่จะเดินตามเด็กสาวที่นำหน้าไป เด็กชายและเด็กหญิงอีกสองคนเดินตามหลังไปอย่างสบายๆ
‘หลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวพวกเราเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ของใหม่เข้ามาในชีวิตของพวกเรา ตอนแรกแม้มันจะเป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอม แต่พอผู้คนเริ่มคุ้นเคยไปกับมันและหันไปใช้ของพวกนั้นกันหมด ของเก่าๆก็จะเริ่มหายไป อาจจะกินเวลาไม่ถึงเดือนหรืออาจจะต้องใช้เวลาอีกซักพันปี อย่างช้าๆ… พวกเขาจะลืมเลือนพวกมัน กลายเป็นแค่อดีตที่น่าโหยหาเท่านั้น แต่ช่วงเวลานั้นมันจะไม่กลับคืนมาอีกแล้ว...’
‘เดี๋ยวเธอก็จะรู้ความหมายของมันเอง’
5 เมษายน 2050
ผลงานอื่นๆ ของ TheAdapter ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ TheAdapter
ความคิดเห็น